หงส์แดงทะยานฟ้า ลิเวอร์พูล ยังคงเดินหน้าทำสถิติไร้พ่ายในการเล่นเกมลีกสูงสุดอย่างต่อเนื่อง
หงส์แดงทะยานฟ้า ล่าสุดเปิดรังแอนฟิลด์ ไล่ทุบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-0 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้พวกเขาเก็บไปแล้ว 58 คะแนน ทิ้งห่าง เลสเตอร์ ซิตี้ 13 แต้ม และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 14 คะแนน
เกมนี้ต้องบอกว่า “หงส์แดง” สามารถครอบเกมแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยทีมเยือนแทบจะไม่มีโอกาสบุกขึ้นมาสร้างปัญหาให้กับ
อลีสซง เบ็คเกอร์ มากนัก แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องชมเกมรับโดยเฉพาะ โจ โกเมซ ที่ยิ่งเล่นยิ่งเหนียวแน่น และจับคู่กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ได้อย่าง
ลงตัว สำหรับตอนนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้สร้าง “หงส์แดง” ให้กลายเป็นทีมที่แพ้ยากแล้ว โดยเฉพาะในถิ่นแอนฟิลด์ เพราะพวกเขายังสะกดคำว่า
แพ้ไม่เป็นในบ้านตัวเองติดต่อกันถึง 51 แมตช์ พร้อมกับการลากยาวสถิติยังไม่แพ้ใคร 37 แมตช์ติดต่อกัน
1. โกเมซยิ่งเล่นยิ่งนิ่ง
โฌแอล มาติป และ เดยัน ลอฟเรน คงได้ปาดเหงื่อเมื่อได้เห็นผลงานของ โจ โกเมซ ที่กำลังเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการจับคู่เซนเตอร์แบ็กกับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ทำให้ตอนนี้ “หงส์แดง” มีสถิติคลีนชีต 5 เกมลีกหลังสุด (1 เกมที่ยืนแบ็กขวา)
แมตช์นี้ โกเมซ ยังแสดงให้เห็นถึงการเล่นที่นิ่งมากๆ แทบไม่มีการเล่นแบบโฉ่งฉ่าง แถมยังยืนคุมพื้นที่ได้ดีเยี่ยม ทำให้เพื่อนร่วมทีมสามารถเปิดเกมบุกได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากมั่นใจว่าคู่แนวรับสามารถจัดการเก็บกวาดเกมรุกของ “ดาบคู่” ได้ ซึ่งก็ทำได้อย่างที่คาดหวัง
งานนี้ประเด็นที่หลายคนเรียกร้องให้ คล็อปป์ เตรียมกระโดดเข้าร่วมแจมตลาดพ่อค้าแข้งรอบ 2 เดือนมกราคมนี้ เพื่อหากองหลังดีๆ มาเล่นคู่กับ ฟาน ไดค์ อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีชื่อของ ดีเอโก้ คาร์ลอส ซนเตอร์แบ็ก เซบีย่า ที่มีค่าตัวประมาณ 65 ล้านปอนด์ (ราว 2,470 ล้านบาท)
สำหรับตอนนี้คงไม่จำเป็นแล้ว เพราะ โกเมซ กลับมาสู่ฟอร์มที่ยอดเยี่ยม ฉะนั้นทีมไม่ต้องเสียเงินหลายล้านปอนด์ ด้วยความรวดเร็ว, ความแข็งแกร่ง และยังหนุ่มยังแน่นอายุเพียง 22 ปีเท่านั้น ฉะนั้นเขาจะเป็นนักเตะกำลังหลักในถิ่นแอนฟิลด์ในอนาคต (หากรักษาฟอร์มแกร่งแบบนี้ต่อไป)
2. ครบปีไม่แพ้ใครในลีก
เจอร์เก้น คล็อปป์ สามารถฉลองความสุดยอดของสโมสรหลังจากจบเกมชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ได้ เพราะเขามีส่วนสำคัญมากๆ ในการช่วยทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครในแอนฟิลด์ 51 แมตช์ติดต่อกัน ซึ่งต้องบอกว่าเลยว่านี่คือสถิติที่สุดยอดมากๆ สำหรับ นายใหญ่ชาวเยอรมัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูกาลนี้ คล็อปป์ สร้าง “เดอะ เร้ดส์” ขึ้นมาแข็งแกร่งทั้งระบบการเล่น, สภาพร่างกาย และสภาพจิตใจ ทำให้พวกเขากำลังที่จะประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปี เพราะทีมทิ้งห่างอันดับ 2 เลสเตอร์ ซิตี้ ถึง 13 คะแนน และแข่งน้อยกว่า 1 แมตช์
ฉะนั้น ณ ตอนนี้ คงไม่มีใครที่สมควรจะได้รับการสรรเสริญเยินยอมากไปกว่า คล็อปป์ สำหรับการสร้าง ลิเวอร์พูล ให้เป็นทีมที่แข็งแกร่งยากที่ทีมไหนจะโค่นลงได้ โดยเฉพาะการเล่นในแอนฟิลด์
3. ลุ้นความสำเร็จแชมป์ไร้พ่าย
สำหรับตอนนี้ ลิเวอร์พูล สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นกับการเล่นในเกมลีก 37 แมตช์แล้ว (รวมครึ่งฤดูกาลหลังซีซั่น 2018/19) โดยเป็นชัยชนะ 32 เกม และทำแต้มหลุดมือด้วยการเสมอ 5 แมตช์ เท่านั้น อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงมีสถิติไร้พ่ายน้อยกว่า อาร์เซน่อล อีกหลายเกม
ทัพ “เดอะ กันเนอร์ส” ไร้พ่าย 49 แมตช์ โดยเริ่มตั้งแต่เปิดฉากฤดูกาล 2002/2003 และลากยาวไปจนถึงช่วงต้นฤดูกาล 2004/2005 นั่นหมายความว่าตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2003 และไปสิ้นสุดในวันที่ 24 ตุลาคม 2004 ซึ่งเกมที่แพ้ก็คือแมตช์ปะทะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยรวมแล้วไม่แพ้ใครถึง 536 วัน
ขณะเดียวกัน เชลซี ก็เคยสร้างสถิติไม่แพ้ใครยาวนานเช่นกันในยุคที่ โชเซ่ มูรินโญ่ กุมบังเหียน โดยทำได้ถึง 40 เกมในลีกช่วงระหว่างวันที่ 23 ตุลาคม 2004 ไปจนถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2005 รวมแล้วประมาณ 379 วัน โดย “หงส์แดง” จะทำสถิติไม่แพ้ใครได้ต่อไปหรือไม่ งานนี้ต้องไปถาม ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ คู่แข่งในเกมลีกแมตช์ต่อไปที่จะฟาดฟันกันในวันที่ 11 มกราคมนี้
ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะพวกเขายังมีคิวปะทะกับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมต่อจาก “ไก่เดือยทอง” ด้วย ฉะนั้นนี่คือ 2 แมตช์ที่สำคัญมากๆ สำหรับ ลิเวอร์พูล และหากพวกเขาสามารถฝ่าแดนสุดหินทั้ง 2 เกมนี้ไปได้ งานนี้เหล่าสาวก “เดอะ ค็อป” คงได้เห็นความฝันที่รอคอยมานาน 3 ทศวรรษค่อยๆ เป็นจริงขึ้นมาเรื่อยๆ แล้ว
4. มาเน่-ซาลาห์ฟอร์มหรู
ซาดิโอ มาเน่ ยิงประตูในเกมชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ ในวันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคมปี 2019 ถือเป็นการยิงส่งท้ายปีเก่า และก็มาสวมบทฮีโร่ในการยิงประตูปิดท้ายชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ถือเป็นการยิงประตูเอาฤกษ์เอาชัยกับการเล่นเกมแรกของปี 2020
ผลงานในแมตช์หัก “ดาบคู่” ทำให้ตอนนี้ ปีกความเร็วสูงชาวเซเนกัล ซัดไปแล้ว 11 ประตูจากการเล่นเกมลีกในฤดูกาลนี้ โดยตอนนี้ มาเน่ กลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่แฟนบอล “หงส์แดง” รักสุดหัวใจ โดยตอนที่เดินออกจากสนามช่วงที่ถูกเปลี่ยนตัว สาวก “เดอะ ค็อป” ลุกขึ้นปรบมือกันลั่นสนาม แน่นอนว่าสิ่งนี้บ่งบอกได้ชัดเจนว่า มาเน่ สำคัญกับทีมมากแค่ไหน https://line.me/R/ti/p/%40ufabetwins
ขณะเดียวกัน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเช่นกันในเกมนี้ และไม่ใช้โอกาสเปลือง ที่สำคัญการที่เขายิงประตูให้ทีมขึ้นนำตั้งแต่ต้นเกมทำให้ “หงส์แดง” สามารถเล่นได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้จังหวะที่ทีมได้ประตูที่สอง ก็เป็น “บังโม” ที่ทำทางให้ มาเน่ วิ่งเข้าไปส่งบอลซุกก้นตาข่าย
สำหรับตอนนี้ต้องบอกเลยว่าทั้ง มาเน่ และ ซาลาห์ เล่นกันได้เข้าขาสุดๆ ที่สำคัญเหตุการณ์ดราม่าในเกมที่ “เดอะ เร้ดส์” ถล่ม เบิร์นลี่ย์ 3-0 เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กลายเป็นการเปิดใจ 2 แข้งแอฟริกัน และนำไปสู่การเล่นที่ทุ่มเทเพื่อกันและกันมากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ
5. ได้เวลาโรเตชั่น
แน่นอนว่าเกมกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด นั้น คล็อปป์ คงสั่งให้ลูกทีมใส่เต็มสูบ เพราะแมตช์นี้พวกเขาวิ่งกันแบบไม่มีหยุด ไล่เพรสซิ่งถึงฝั่งประตู “ดาบคู่” และทำให้ทีมเยือนไม่สามารถต่อเกมได้อย่างที่ต้องการ
เหตุผลสำคัญมีความเป็นไปได้ว่า คล็อปป์ คงเตรียมที่จะพักแข้งตัวหลักในแมตช์ต่อไปแน่นอน เพราะเกมหน้าทีมจะลงสนามทำศึกเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ พบ เอฟเวอร์ตัน ในศึกเอฟเอ คัพ วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคมนี้ ฉะนั้นในเกมกับ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” คงได้เห็นผู้เล่นสำรองลงสนามเพียบ
อย่างในแนวรุกมีความเป็นไปได้สูงที่ คล็อปป์ จะดร็อป ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เช่นเดียวกันกองกลางที่อาจจะไม่เห็น จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน แต่ที่แน่ๆ แฟนบอล “หงส์แดง” จะได้เห็นลีลาเด็ดดวงของ ทาคูมิ มินามิโนะ กับเกมแรกในฐานะนักเตะใหม่แกะกล่องของ ลิเวอร์พูล
หน้าแรก >>> ข่าวฟุตบอล