พญาหงส์ อาร์เซน่อล เป็นเจ้าของสถิติไร้พ่ายอย่างยืนยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก

ถัดมาในอีกฤดูกาล (2003-04) ลูกทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ ก็สร้างความไร้เทียมทานที่พากย์ภาษาอังกฤษว่า “Invincible” คือไม่แพ้ใครตลอดทั้งฤดูกาลเป็นจำนวน 38 นัด

รวมกับของเดิมเป็น 40 นัด

ฤดูกาล 2004-05 อาร์เซน่อล ในฐานะแชมป์แบบไร้พ่ายออกตัวอย่างร้อนแรงและกะซวกไส้ดีนักแล ด้วยการพุ่งเข้าชนและพุ่งเข้าใส่ชัยชนะอีก 5 นัดติดค่อกัน ก่อนจะสะดุดเสมอ โบลตัน 2-2

ยอดรวมตอนนั้นคือ 46 นัด

หลังจากนั้นก็เก็บชัยชนะได้อีก 3 นัด ทำสถิติไร้พ่าย รวมกันเป็น 49 นัด ก่อนจะยกโยธาพลากรไปเยือนถิ่นของคู่แค้นระดับฆ่าล้างโคตรอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด

มันคลาสสิกตรงนี้ครับ

คือย้อนกลับไปในฤดูกาลที่ อาร์เซน่อล ไร้พ่าย พวกเขาเฉียดเข้าใกล้กับความปราชัยมากที่สุดในเกมที่บุกไปเยือนโรงละครแห่งความฝันนี่แหละ

มันเป็นเกมที่ 6 ของฤดูกาล 2003-04

ยุคนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซน่อล สถาปนาตัวเองคู่ขับเคี่ยวแย่งชิงความสำเร็จพลางห้ำหั่นกันอย่างถึงใจพระเดชพระคุณ

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน vs อาร์เแซน เวนเกอร์

รอย คีน vs ปาทริค วิเอร่า

เมื่อเหลือเวลาอีกประมาณ 10 นาที ก็เกิดเหตุการณ์ปะทะกันในเกมระหว่าง รุด ฟาน นิสเตลรอย กับ ปาทริค วิเอร่า

พลันกัปตันทีมปืนโตตบะแตกทำตีนลั่นเผลอถีบใส่ดาวถล่มประตูของปีศาจแดง

“พี่ม้า” เอี้ยวตัวหลบทันแล้วลงไปชักดิ้นชักงอประหนึ่งปลาช่อนถูกทุบหัว

ผู้ตัดสิน สตีฟ เบ็นเน็ตต์ ควักใบแดงออกมาชูใส่หน้า ปาทริค วิเอร่า ทันที – อาร์เซน่อล เหลือผู้เล่น 10 คน

นาทีสุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด มาได้ลูกโทษที่จุดโทษ

รุด ฟาน นิสเตลรอย รับหน้าที่เพชฌฆาตตีนสังหาร หากส่งลูกเข้าไปตุงตาข่ายก็จะไม่มีสถิติไร้พ่ายตลอดทั้งฤดูกาลเกิดขึ้นในพงศาวดารลูกหนังอังกฤษ

ทว่าดาวถล่มประตูของปีศาจแดงตะบันไปชนคานหรือข้ามคาน ผมก็จำไมได้แล้ว – ที่แน่ๆ คือผู้เล่นของไอ้ปืนใหญ่ นำโดย มาร์ติน คีโอว์น และพวกพ้องอันประกอบด้วย โลรองต์ เอตาเม่, เรย์ พาร์เลอร์ และแอชลี่ย์ โคล ก็กรูกันเข้าไปแสดงความสะใจแบบสุดขีดคลั่งใส่ รุด ฟาน นิสเตลรอย จนถูกลงโทษแบนย้อนหลังไปคนละหลายนัด

    ภาพที่ มาร์ติน คีโอว์น กระโดดกางมือเย้ยหยันคือภาพคลาสสิกที่สุดภาพหนึ่งในพรีเมียร์ลีก

ตัดกลับไปที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2004 หาก อาร์เซน่อล เอาตัวรอดกลับออกไปได้สำเร็จ พวกเขาจะเพิ่มสถิติไร้พ่ายของตัวเองเป็น 50 นัด

การศึกครั้งนั้นดำเนินไปอย่างดาลเดือด

กระทั่ง โซลล์ แคมป์เบลล์ สกัด เวย์น รูนี่ย์ ล้มลงในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสิน ไมค์ ไรลี่ย์ บ้วนลมยาวๆ ผ่านนกหวีดพลางชี้นิ้วไปที่จุดโทษโดยพลันท่ามกลางการประท้วงของผู้เล่นทีมเยือน

คราวนี้ รุด ฟาน นิสเตลรอย สังหารจุดโทษไม่พลาด ก่อนดาวเตะเจ้าของสมญา “สุกรโลกันตร์” จะย้ำหัวตะปูตอกฝาโลกส่ง อาร์เซน่อล ลงหลุม

ไม่อยากบอกเลยว่าตัวผมก็คือหนึ่งสักขีพยานที่อยู่ในการศึกครั้งนั้นที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้วย

เสียงคำรามพร้อมทำนองที่ว่า “Bollock to it fifty games” ดังกระหึ่ม ประโยคนี้แปลงความหมายเป็นไทยได้ประมาณว่า “ไอ้พวกลูกกระโปกอดทำสถิติไร้พ่าย 50 นัด”

เรด อาร์มี่ ร้องรำทำเพลงนี้กันอย่างสนุกสนานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนเกิดตำนาน “พิซซ่าบินอันตราย” เมื่อดาวเตะวัยคะนองของทีมปืนโตอย่าง เชส ฟาเบรกาส เอาพิซซ่ามาปาใส่หลัง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในจังหวะที่ผู้เล่น 2 ทีมกำลังชุลมุนวุ่นวายกันอยู่ในอุโมงค์ทางเดินหน้าห้องแต่งตัว

ีufabet

49 นัดที่ อาร์เซน่อล ไร้พ่ายมี แมนฯ ยูไนเต็ด เข้าไปมีเอี่ยวทั้งเป็นหนึ่งในสะพานที่ทอดให้ลูกทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ สับตีนข้ามไปทำสถิติสุดวิเศษ แถมยังเป็นผู้หยุดสถิติไร้พ่ายของ “เดอะ กันเนอร์ส” ได้สำเร็จซะด้วย

ตัดภาพกลับมา ณ ปัจจุบัน

สถิติไร้พ่ายตลอดฤดูกาล และสถิติไร้พ่าย 49 นัดที่อยู่ยงคงกระพันมานานถึง 16 ปีของ อาร์เซน่อล กำลังถูกเขย่าอย่างรุนแรง หลังจากที่ ลิเวอร์พูล ไม่รู้จักคำว่าแพ้พ่ายในพรีเมียร์ลีกติดต่อกัน 37 นัด

นับตั้งแต่เสียท่าให้ แมนฯ ซิตี้ ด้วยสกอร์ 2-1 ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อ 3 มกราคม 2019 ลิเวอร์พูล ก็ไม่เคยแพ้ใครในลีกสูงสุดอีกเลย โดยเป็นเวลาเกินหนึ่งปีแล้วนะครับ

ฤดูกาลนี้ พลพรรคเครื่องจักรสีแดงผู้อหังการทำสถิติไม่แพ้ 20 นัดในพรีเมียร์ลีก บวกกับเมื่อฤดูกาลที่แล้วอีก 17 นัด รวมกันเป็น 37 นัด

หมายความว่าหากรักษาความบริสุทธิ์ต่อไปได้อีก 12 นัด ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็จะทำสถิติเทียบเท่าสถิติที่ อาร์เซน่อล เคยบันทึกเอาไว้

และต่อไปคือรายนามของคู่แข่งที่ ลิเวอร์พูล จะต้องเจออีก 12 นัดในพรีเมียร์ลีก

– สเปอร์ส (เยือน)
– แมนฯ ยูไนเต็ด (เหย้า)
– วูล์ฟส์ (เยือน)
– เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (เยือน)
– เซาธ์แฮมป์ตัน (เหย้า)
– นอริช ซิตี้ (เยือน)
– เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (เหย้า)
– วัตฟอร์ด (เยือน)
– บอร์นมัธ (เหย้า)
– เอฟเวอร์ตัน (เยือน)
– คริสตัล พาเลซ (เหย้า)
– แมนฯ ซิตี้ (เยือน)

    ถามว่าทีมไหนพอที่จะเป็น “ความหวังของชาวโลก” ได้บ้าง ???

สุดสัปดาห์นี้ ลิเวอร์พูล จะบุกไปเยือนถิ่นของทีมคลับไก่ที่ศูนย์หน้าตัวความหวังอย่าง แฮร์รี่ เคน ดันมาบาดเจ็บพอดี แถมสถิติก็ข่ม สเปอร์ส มาโดยตลอด

นัดถัดไปถึงแม้จะเป็นศึกแดงเดือดที่อยู่เหนือเหตุผลและความเข้าใจ แต่เรียนตามตรงว่ามันคงเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าปอกทุเรียนด้วยมือเปล่าที่พลพรรคปีศาจสามง่ามหักในสภาพนี้จะบุกไปยัดเยียดความปราชัยให้เจ้าถิ่น

ตามมาด้วยการเยือน “หมาป่า” ที่น่ากลัวในบ้าน

หากผ่าน 3 เกมนี้ได้โดยไม่แพ้ สถิติไร้พ่ายของ ลิเวอร์พูล จะวิ่งผ่านบางเขนไปถึงหลัก 4

โปรแกรมที่เหลือจากนั้นไม่น่าจะมีปัญหาอะไร กระทั่งการบุกไปเยือนถิ่นอิสต์แลนด์ส ของ แมนฯ ซิตี้ อีกครั้งนั้นแหละ

หากรักษาความบริสุทธิ์ของตัวเองเอาไว้ได้ พวกเขาจะไปที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม พร้อมสถิติไร้พ่าย 48 นัด

หมายความว่า แมนฯ ซิตี้ นี่แหละครับคือความหวังอันสูงสุดของชาวโลกในการหยุดยั้ง ลิเวอร์พูล ถ้าหยุดไม่ได้ก็มีโอกาสที่จะยิงยาวไปจนถึงเส้นชัย

บรรทัดนี้ขอยืนยันอย่างหนักแน่นอีกครั้งนะครับว่าการเป็นแชมป์นั้นยาก แต่การเป็นแชมป์แบบไร้พ่ายนั้นยากดับเบิ้ลยากเสียยิ่งกว่า มิเช่นนั้น อาร์เซน่อล คงไม่ใช่เพียงทีมเดียวในประวัติศาสตร์ลูกหนังที่เคยทำสำเร็จ https://line.me/R/ti/p/%40ufabetwins

ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวก “เดอะ ค็อป” ในฤดูกาลนี้ มันก็น่าหวาดหวั่นมิใช่น้อย เพราะเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นใจให้พวกเขาหมด

    พูดกันแบบขำขำว่าทางเดียวที่จะหยุด ลิเวอร์พูล ไม่ให้ควบตะบึงเข้าใส่ตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก คือสงครามโลก ครั้งที่ 3 นั่นแหละ

เพราะหากเกิดสงครามโลก ครั้งที่ 3 ขึ้นจริงๆ หมายความว่า ‘สงครามโลก’ นะครับ อังกฤษพวกเดียวกับเมกาอยู่แล้ว

และฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษคงต้องหยุดเว้นวรรคไปเหมือนที่มันเคยเกิดขึ้นในสงครามโลก ครั้งที่ 1 และสงครามโลก ครั้งที่ 2

อย่างไรก็ตาม

ล่าสุดเมื่อวันก่อน ประธานาธิปดี ดอนัลด์ ทรัมป์ ประกาศสงบศึกพลางขอประนีประนอมกับคู่กรณีของตัวเองอย่าง อิหร่าน เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องดีของทั้ง 2 ฝ่าย เพราะสงครามนั้นมีแต่ความสูญเสีย

หากนักรบแห่งเปอร์เซียต้องการทำสงครามแบบเปิดหน้าแลก บอกได้เลยครับว่า “บรรลัย” พวกเขาไม่มีทางต้านทานความแข็งแกร่งของกองทัพพญาอินทรี นอกเสียจากจะใช้การต่อสู้แบบจรยุทธ์ หรือโจมตีแบบกองโจรใส่ฐานทัพของสหรัฐฯ ที่มีอยู่ทั่วโลกแบบย่องตอด แต่ขืนทำแบบนั้น เกรงว่าประเทศอิหร่านจะหายไปจากแผนที่โลกไปเสียเปล่าๆ

ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่มีสันติภาพเกิดขึ้นบนโลกเน่าๆ ของเรานะครับ ซึ่งตัวจริงของผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสงบศึกครั้งนี้ ก็คือพวกพี่ๆ เขานี่แหละ

ครับ…พวกพี่ๆ เขานั่นแหละ

เข้าใจว่าท่านประธานาธิปดีของสหรัฐฯ คงทราบดี มิหนำทั้ง “แพนตาก้อน” และ “ซีไอเอ” รวมถึง ‘นาซ่า’ คงรายงานให้รับทราบแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก และพวกพี่ๆ เขามีความน่าสะพรึงมากขนาดไหน

นอกจากน่าสะพรึงแล้วยังทรงพลังอย่างแรงอีกต่างหาก ขืนทะลึ่งก่อสงครามโลกด้วยความบ้าอำนาจจนส่งผลให้พวกพี่ๆ เขาไม่ได้ฉลองแชมป์ที่รอคอยมาอย่างยาวนานถึง 30 ปีล่ะก็

อืมมมมมม…นะ

ขออนุญาตทำลูกกระเดือกกระเพื่อม

ต่อให้เป็นถึง “พญาอินทรี” ก็ไม่มีทางต้านทานอยู่

หลังใช้หัวแม่ตีนตรึกตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ดอนัลด์ ทรัมป์ จึงประกาศออกมาแบบนั้น

จึงพอจะสรุปได้ว่า “สงครามโลก” ที่ทำท่าว่าจะอุบัติขึ้นอยู่รอมร่อกลับถูกหยุดด้วยสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกนี่แหละ ข่าวฟุตบอลต่างประเทศ