สานต่อความโหด เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ปรึกษาชาวเยอรมันของลิเวอร์พูล พร้อมที่จะนำทีมรับมือ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ที่สนามแอนฟิลด์ ในเกมพรีเมียร์ลีก

สานต่อความโหด เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ปรึกษาชาวเยอรมันของลิเวอร์พูล พร้อมที่จะนำทีมรับมือไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ที่สนามแอนฟิลด์ ในเกมพรีเมียร์ลีก วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคมนี้ เพื่อสืบต่อฟอร์มที่สุดยอด

ข้างหลังบุกกระหน่ำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่ออาทิตย์ก่อนหน้าที่ผ่านมา ฟอร์มของ “ลิเวอร์พูล” ยังคงเร่าร้อนสม่ำเสมอโดย 2 เกมลีกก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาพวกเขาไล่ต้อน วัตฟอร์ด 0-5 รวมทั้งทำศึกทำสงคราม “แดงเดือด” สอนบอล แมนฯ ยูฯ สกอร์เดียวกัน

ช่วงเวลาที่แมตช์ถัดไปจำต้องพบกับไบรท์ตัน ซึ่งไม่ใช่งานง่ายๆเนื่องจากว่ากองทัพ “นกนางนวล” ผลงานดีเกินขาดในฤดูกาลนี้ สิ่งที่โชคร้ายสำหรับสาวก “เดอะ ค็อป” ก็คือดินแดนกึ่งกลางของกลุ่มที่ยังมีปัญหา

โดยในรายของ ฟาบินโญ่ จำเป็นต้องลุ้นเรื่องความฟิต ส่วน ติอาโก้ อัลกันทาร่า แม้ว่าจะกลับมาซ้อมกับทีมได้แล้ว แม้กระนั้นก็ยังไม่ฟิตพอที่จะลงไปในสนามดวลไบรท์ตัน เวลาเดียวกันแขกก็บางครั้งก็อาจจะอยู่ในตอนผลงานสะดุด

เนื่องจากพึ่งจะแพ้ยับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเกมลีก รวมทั้งโดน เลสเตอร์ ซิตี้ เขี่ยไม่เข้ารอบศึกคาราบาว คัพ ทำให้ 5 แมตช์หลังสุดในทุกรายการพวกเขาสะกดคำว่าชนะไม่เป็น (แพ้ 2 เสมอ 3) โดยเหตุนี้การบุกมาที่แอนฟิลด์

นับว่าเป็นงานที่ยากลำเค็ญอย่างยิ่งจริงๆ แนวรุกฮึกเฮิมสุดขีด สำหรับช่วงนี้จำเป็นต้องสารภาพว่าแนวรุกของลิเวอร์พูล ดุดันแล้วก็เต็มไปด้วยความมั่นใจและความเชื่อมั่นสุดๆ ภายหลังพวกเขาโชว์ฟอร์มอย่างชั่วร้ายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 เกมลีก

ปัจจุบันที่ซัดรวมกันไปถึง 10 ประตูอย่างยิ่งจริงๆ แถมยังการทำประตูนอกบ้านซะด้วย คล็อปป์มีทางเลือกในเกมบุกที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และก็ ดีโอโก้ โชต้า

ซึ่งไม่ว่าจะส่งคนใดลงไปในสนาม พวกเขาสามารถกระซวกตาข่ายคู่ต่อสู้ได้ตลอดระยะเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “บังโม” ในเวลานี้ฟอร์มโหดเหี้ยมอย่างมากซัดในลีกไปแล้ว 10 ประตูจาก 9 แมตช์ และก็ตะบันรวม 15 ประตูจาก 12 เกมในทุกรายการ

แถมยังรอช่วยสร้างเกม แล้วก็แอสซิสต์ให้เพื่อนด้วย ซึ่งแน่นอนว่าในขณะนี้ ซาลาห์ อยู่ในตอนเชื่อมั่นเกินร้อยจริงๆที่สำคัญในเกมลีกเจอไบรท์ตัน, จอมบุกชาวอียิปต์ยังมีส่วนช่วยให้ทีมได้ 9 ประตู (5 ประตู, 4 แอสซิสต์)

สานต่อความโหด โดยเหตุนี้คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ เกรแฮม พอเพียงตเตอร์ ผู้จัดการทีมนกนางนวล ถึงขนาดซูฮก ซาลาห์ ว่าเป็นยอดเยี่ยมนักฟุตบอลที่ไม่ใช่แค่ในสุดยอดเพียงแค่นั้น แต่ว่าในตอนนี้เขาแปลงเป็นนักฟุตบอลระดับนอกโลกไปเรียบร้อยแล้ว ข่าวบอล

สานต่อความโหด

ฟอร์มของ “ลิเวอร์พูล” ยังคงเร่าร้อนสม่ำเสมอโดย 2 เกมลีกก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาพวกเขาไล่ต้อน วัตฟอร์ด 0-5

สานต่อความโหด ฟาน ไดค์ ยังไม่แพ้ในแอนฟิลด์ นอกจากความยอดเยี่ยมของ ซาลาห์ และแนวรุกที่สุดยอดของ “หงส์แดง” พวกเขายังมีเกมรับที่สุดแข็งแกร่งโดยเฉพาะการมี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ คุมแผงหลังยิ่งทำให้เจ้าบ้านเสียประตูยากมากขึ้นเป็นทวีคูณ

ลองคิดดูสถิติของ ปราการหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ในการเล่นที่แอนฟิลด์ มันช่างสุดยอดจนน่าเหลือเชื่อ เพราะเขายังไม่เคยแพ้ในการเล่นเกมลีกที่รังเหย้าของสโมสรตลอดระยะเวลาที่ลงสนาม 51 แมตช์ ทั้งๆ ที่เจ้าตัวอยู่ค้าแข้งกับ “หงส์แดง” มาแล้วเกือบ 4 ปี

ยิ่งไปกว่านั้นผลงานของ ฟาน ไดค์ ในการช่วยลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ สามารถนำทีมเก็บชัยชนะได้ถึง 44 แมตช์ โดยเสมอ 7 เกมเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่านี่คือสถิติที่ยอดเยี่ยมที่ทำให้สาวก “เดอะ ค็อป” รู้สึกอุ่นใจเวลาที่เห็น แนวรับชาวดัตช์ ยืนคุมด้านหลัง

หลายคนอาจจะตั้งข้อสงสัยว่า อ้าวเฮ้ย ! เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ช่วงที่ “เดอะ เร้ดส์” เกิดวิกฤติใหญ่โดยเฉพาะการแพ้ในบ้าน 6 แมตช์ แต่ขอบอกว่าเกมเหล่านั้นไม่มี ฟาน ไดค์ ลงสนามเนื่องจากนักเตะได้รับบาดเจ็บจนต้องพักยาวทั้งซีซั่น

แดนกลางต้องลุ้น ฟาบินโญ่ ส่วน เกอิต้า พร้อมแล้ว ก่อนหน้านี้แฟนบอล “หงส์แดง” ต่างก็ลุ้นหนักว่าทีมรักต้องประสบกับปัญหาในแผงมิดฟิลด์ เนื่องจากมีผู้เล่นบาดเจ็บหลายครั้งทั้ง นาบี เกอิต้า, ติอาโก้ อัลกันทาร่า, ฟาบินโญ่, เจมส์ มิลเนอร์ รวมไปถึง ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์

อย่างไรก็ตามตอนนี้ต้องบอกว่าบรรดา “เดอะ ค็อป” ได้รับข่าวดีเมื่อ เกอิต้า และ ติอาโก้ สามารถกลับมาลงฝึกซ้อมร่วมกับทีมได้แล้ว แต่น่าเสียดายตรงที่ ดาวเตะชาวสแปนิช อาจจะยังไม่ฟิตมากพอที่จะลงสนามในแมตช์นี้

กระนั้นในรายของ ฟาบินโญ่ ซึ่งดวงแตกได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่ายังต้องลุ้นว่าจะสามารถฟิตทันกลับมาช่วยทีมในแมตช์รับมือ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ได้หรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่าการขาด ดาวเตะชาวบราซิเลียน ถือว่าเสียหายพอสมควร

สำหรับแมตช์นี้ ไบรท์ตันคงจะมาเล่นในสไตล์เน้นเกมรับ และหาจังหวะสวนกลับ ฉะนั้นเกมแดนกลางถือเป็นหัวใจสำคัญเพราะหากลิเวอร์พูล สามารถครองเกมตรงจุดนี้ได้ โอกาสที่พวกเขาจะกดดันผู้มาเยือนย่อมมีมากขึ้น

ฉะนั้นหากทีมไม่มี ฟาบินโญ่ ที่คอยทำหน้าที่คุมจังหวะ และตัดเกมคู่แข่ง งานหนักคงต้องตกไปอยู่ที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ เกอิต้า ส่วนอีกรายน่าจะเป็น เคอร์ติส โจนส์ ที่จะได้โอกาสโชว์ฝีเท้าอีกครั้ง

ไบรท์ตันชื่อนี้เคยทำแสบเอาไว้ในแอนฟิลด์ ไบรท์ตันบอกเลยว่าพวกเขามีผลงานที่ไม่ธรรมดาจริงๆ ในฤดูกาลนี้ เพราะฟอร์มในลีกถือว่าเหนือความคาดหมายเนื่องจากตอนนี้ “เดอะ ซีกัลส์” รั้งอยู่ในอันดับ 5 ของตารางลีก เหนือกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ซึ่งลงทุนมหาศาลในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา สำหรับผลงานยอดเยี่ยมขนาดนี้มาจากการวางแท็กติกของ พอตเตอร์ และบรรดาผู้เล่นคีย์แมนของทีม อย่างเช่น อดัม ลัลลาน่า ซึ่งเคยเป็นอดีตนักเตะ “หงส์แดง” ชุดคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ พรีเมียร์ลีก

ขณะที่นักเตะคนสำคัญอีกรายของทีมอย่าง อีฟส์ บิสซูม่า กองกลางตัวเก่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ “หงส์แดง” สนใจอยากได้ตัวมาเสริมทัพ ก็อาจจะได้ลงทำหน้าที่บัญชาเกมในแดนกลางให้กับทัพ “นกนางนวล” หลังนักเตะหายเจ็บ

และเพิ่งลงสนามในเกมแพ้จุดโทษ เลสเตอร์ ซิตี้ ศึกคาราบาว คัพ เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องบอกเลยว่าน่าเสียดายสำหรับผู้มาเยือนก็คือพวกเขาจะไม่มี แดน เบิร์น ปราการหลังร่างยักษ์ ที่มีปัญหาบาดเจ็บ

ซึ่งแน่นอนว่าการขาดตัวหลักในแผงหลังคงทำให้ไบรท์ตัน เสียศูนย์ไปพอสมควร กระนั้นอย่าลืมว่าไบรท์ตัน เคยสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับสาวก “เดอะ ค็อป” เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา โดยพวกเขาบุกมายัดเยียดความปราชัยถือถิ่นแอนฟิลด์ และนั่นคือหนึ่งใน 6 เกมที่สุดย่ำแย่ของพวกเขาที่พ่ายคาบ้าน

เดินหน้าสร้างสถิติไร้พ่ายต่อไป ฟอร์มของลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้มีอะไรที่คล้ายคลึงกับฟอร์มทัพ “หงส์แดง” ในซีซั่น 2019/2020 ที่พวกเขาคว้าแชมป์ลีกได้อย่างยิ่งใหญ่ เพราะทีมเดินหน้าเก็บชัยชนะเป็นว่าเล่นในช่วงต้นฤดูกาล

สำหรับตอนนี้ทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ยังสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นถึง 19 แมตช์ติดต่อกันในลีก (รวมซีซั่นที่ผ่านมาด้วย) และมีโอกาสที่จะเพิ่มสถิติเป็น 20 แมตช์หากพวกเขาสามารถชนะหรือเสมอ ไบรท์ตันที่แอนฟิลด์

สถิติไร้พ่ายในเวลานี้ต้องบอกเลยว่ามาจากการเล่นร่วมกันเป็นทีมโดยเวลาที่ลงสนามทุกๆ คนจะช่วยกันเล่นเกมบุกแบบบ้าคลั่ง ขณะเดียวกันเมื่อต้องตั้งรับพวกเขาก็รีบลงมาช่วยกันอย่างเต็มที่ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงสปิริตภายในทีมที่แข็งแกร่งมากๆ

สานต่อความโหด อย่างไรก็ตามสถิติต่างๆ คงไม่ได้อยู่ในหัวของนักเตะลิเวอร์พูล มากนัก เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือ 3 คะแนน เพื่อจะได้ไล่บี้กับ เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในการลุ้นแชมป์ลีกมากกว่าการได้สถิติที่มีผลแค่สุขทางใจแต่ไม่ใช่ความสำเร็จที่จับต้องได้ มีความสุข