คว้าแชมป์สี่ มาดูกันว่าลิเวอร์พูล ได้มีการแข่งขันมาแล้วกี่เกมส์ สำหรับในซีซั่นนี้ออกศึก 13 นัด คว้าชัย 12นัด 

คว้าแชมป์สี่ ย้อนเวลากลับไปในช่วงกลางเดือนม.ค.นัดเปิดบ้านสยบ เบรนท์ฟอร์ด 3-0 ในศึก พรีเมียร์ลีก นับจากจุดนั้น มันเป็นบทเริ่มต้นนับหนึ่งการผจญภัยต่อการประกาศศักดาจ่อคว้าแชมป์สี่รายการในซีซั่นนี้ของ หงส์แดงแรงฤทธิ์

ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์สำแดงความเป็น เครื่องจักรสีแดง ให้ชาวโลกได้ประจักษ์ด้วยการกำชัยได้กราวรูด 15 นัดจาก 16 นัดในทุกรายการโดยมีเกม เอฟเอคัพ รอบแปดทีมนัดบุกไปคว่ำ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 1-0 เป็นเกมล่าสุดที่พวกเขาลงสนาม

เมื่อเป็นเช่นนี้ คำถามจึงมีอยู่ว่าความร้อนแรงของ เร้ด แมชีน จะไปสิ้นสุดลงตรงไหนในเมื่อเกมต่อไปหลังพ้นช่วงเบรกทีมชาติต้นเดือนหน้า พวกเขาจะได้เล่นในบ้านต้อนรับการมาเยือนของ วัตฟอร์ด ทีมในโซนตกชั้นของ พรีเมียร์ลีก

ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา แม้มันจะเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า และต้องเผชิญกับบททดสอบมากมาย แต่ยักษ์ใหญ่จากเมอร์ซีย์ไซด์พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาแข็งแกร่งขนาดไหน ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงกลางเดือนม.ค.ลิเวอร์พูลเคยเสียนักเตะให้กับทีมชาติไปรอบหนึ่ง

แล้วหลังจบเกมลีกนัดบุกไปอัด คริสตัล พาเลซ 3-1 ก่อนกลับมาเปิดรังทุบ คาร์ดิฟฟ์ ด้วยสกอร์เดียวกันในเกม เอฟเอคัพ รอบสี่ต้นช่วงเดือนก.พ. ในห้วงเวลานั้น เจอร์เก้น คล็อปป์ต้องปล่อยนักเตะอย่าง อลิสซง , ฟาบินโญ่ และทาคูมิ มินามิโนะ กลับไปรับใช้ชาติ

รวมถึงสตาร์ดังอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ , ซาดิโอ มาเน่ และนาบี้ เกอิต้า ที่ติดทีมชาติในรายการ แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ แต่อย่างที่เห็น หงส์แดง ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อยต่อการปราศจากสองตัวรุกแอฟริกันซึ่งกลับไปเล่นให้แผ่นดินเกิดจนจบทัวร์นาเมนต์

โดย เซเนกัล ดวลลูกโทษเอาชนะ อียิปต์ คว้าแชมป์ทวีปมาครองได้เป็นสมัยแรก อย่างไรก็ดี หากจะยึดจากช่วงหลังพ้นเกมทีมชาติหนก่อนเมื่อเดือนก.พ.เป็นจุดเริ่มต้น ก็เท่ากับว่าลิเวอร์พูล ลงเล่นไปแล้วทั้งสิ้น 13 นัดในเวลา 43 วันเท่านั้น

นับตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ.ที่พวกเขาบู๊กับ คาร์ดิฟฟ์ ในถ้วยน็อคเอาท์ เรื่อยมาจนถึงนัดบุกไปเอาชนะทีม เจ้าป่า ในรายการเดียวกันของรอบแปดทีมวันที่ 20 มี.ค. เท่ากับว่ากุนซือชาวเยอรมันคุมทีมลงสนามอย่างถี่ยิบแทบจะทุกๆ 3.3 วันเลยทีเดียว

แต่ถึงขณะนี้ พวกเขายังรักษาโอกาสคว้าสี่แชมป์ได้อย่างครบถ้วนโดยกำชัยได้มากถึง 12 จาก 13 นัดโดยแพ้ให้กับ อินเตอร์ มิลาน คารัง 1-0 ในรอบ 16 ทีมนัดสองของถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก นัดเดียวเท่านั้น แต่ยังผงาดเข้ารอบแปดทีมสุดท้ายได้สำเร็จ

โรเตชั่น เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ลิเวอร์พูล จะใช้งานทีมชุดเดิมตลอดทุกนัดในเมื่อต้องลงเล่นอย่างต่อเนื่องทั้งสี่รายการ จนในที่สุด การได้ ซาลาห์ , มาเน่ และเกอิต้า กลับมาจากการรับใช้ชาติ ตลอดจนการคว้า หลุยส์ ดิอาซ เข้ามาเสริมได้อย่างน่าประทับใจ

อีกทั้งการเรียกความฟิตกลับมาได้ของทั้ง ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ และติอาโก้ อัลกันตาร่า ส่งผลให้ หงส์แดง มีกองทัพขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับการโรเตชั่นได้อย่างสบาย โดยรวมแล้วจาก 13 เกมหลัง ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันเปลี่ยนนักเตะลงเล่นไปทั้งสิ้น 63 ครั้ง

และสามารถคว้าผลลัพธ์ได้อย่างยอดเยี่ยม แน่นอนอยู่แล้วว่านักเตะคีย์แมนทั้งหลายย่อมต้องถูกส่งลงเล่นมากเป็นพิเศษ แต่กำลังเสริมหรือว่ากองหนุนอย่าง ดิว็อค โอริกี้, โจ โกเมซ และควีวิน เคลเลเฮอร์ ต่างก็มีความสำคัญ

คว้าแชมป์สี่ โดยเฉพาะในเกมฟุตบอลถ้วยของประเทศนัดที่ ได้ดวลกับทีมรองบ่อน “บอกตามตรง มันไม่เป็นปัญหาใหญ่เลยสำหรับการมองหาไลน์อัพที่เหมาะสม” คล็อปป์ระบุหลังจบเกมก่อนหน้านี้ในลีกที่บุกไปย้ำแค้น อาร์เซน่อล ได้ 2-0 ข่าวบอล

คว้าแชมป์สี่

คล็อปป์สำแดงความเป็นหงส์แดงให้โลกรู้ว่า ลิเวอร์พูลก็ไม่ได้ธรรมดา

คว้าแชมป์สี่ “มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และขุมกำลังที่เรามีอยู่ว่าใครสมควรได้เล่นกี่นาที” “ปกติแล้วในหลายปีก่อนหน้านี้ เราจะมีตัวรุกอย่าง ซาดิโอ และโม ลงเล่นตลอดเวลา หรือไม่ก็ บ๊อบบี้ และดิว็อค” “บางทีด้วยเหตุผลที่เรามีนักเตะไม่มากพอ มันจึงอาจทำให้เรามีลุ้นคว้าแชมป์ไม่เกินสองรายการ”

กองหลังอย่างหนา จากสถิติที่ปรากฏ เห็นกันได้อย่างชัดเจนว่าแผงหลังคือปัจจัยสำคัญต่อการคว้าชัยชนะเป็นว่าเล่นของ เร้ด แมชีน จากจำนวน 13 เกมที่เรากำลังพูดถึงลิเวอร์พูล สอยตาข่ายได้ทั้งหมด 25ประตู เฉลี่ยนัดละ 1.9ประตู

ซึ่งต่ำกว่า 34 เกมก่อนหน้านี้ที่พวกเขามีค่าเฉลี่ยคลำเป้าได้ 2.6 ประตูต่อเกม อย่างไรเสียลิเวอร์พูล เสียไปแค่ 4ประตูจาก 13นัดหลัง และมีคลีนชีต 8นัด รวมถึงนัดชิงถ้วย คาราบาวคัพ ที่ต้องขับเคี่ยวกับ เชลซี นานถึง 120 นาทีด้วย

อันหมายความว่าทีมของคล็อปป์ เสียความบริสุทธิ์แค่นัดละ 0.3 ประตูเท่านั้น หลังจาก 34 เกมก่อนหน้านี้พวกเขาถูกสอยตาข่ายเฉลี่ยนัดละ 0.8ประตู และมี 17 คลีนชีต ฉะนั้นแล้ว มันจึงชัดเจนว่าเกมรับของ หงส์แดง มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อโอกาส

สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการลูกหนังอังกฤษ “เราต้องปรับกลยุทธ์ บอกตามตรงเลยว่านับตั้งแต่ต้นเดือนม.ค.เราเห็นตรงกันว่าต้องให้ความสำคัญกับเกมรับเป็นอันดับแรก” คล็อปป์เอ่ยหลังเกมพิชิต ปืนใหญ่ เช่นกัน “วันนี้เราชนะ 2-0

แต่เรามีเกมที่ชนะ 1-0 และเราไม่มีทางชนะแน่หากเราไม่อาจเล่นเกมรับได้ดี” ต่อผลงานดังกล่าว มีหลักฐานบ่งชี้ว่าคล็อปป์ พึ่งพาหัวใจสำคัญในเกมรับมากเป็นพิเศษโดยส่ง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ลงเล่นเป็นตัวจริงมากถึง 12 จาก 13 นัดหลัง

ขณะที่ อลิสซง กับ ฟาบินโญ่ ได้ออกสตาร์ต 11 และ 10 นัดตามลำดับ โชคชะตาก็มีส่วน นอกจากจะมีเกมรับที่เหนียวแน่น เสียประตูยากมหันต์แล้ว ลิเวอร์พูลจะไม่มีทางพุ่งทะยานมาถึงจุดนี้ได้เลยหากปราศจากโชคเป็นใจ

ไม่ต้องสงสัยอะไรทั้งสิ้นที่สาวก เดอะ ค็อป พากันโวยแหลกต่อจังหวะที่ โรเบิร์ต ซานเชซ นายทวารทีม ไบรท์ตัน ไม่โดนไล่ออกทั้งๆที่ถลันออกมาปะทะ ดิอาซ ที่พุ่งโขกบอลตุงตาข่ายล้มในกรอบเขตโทษ แต่ขณะเดียวกัน แฟนบอล ฟอเรสต์ ก็รู้สึกว่าพวกเขาต้องได้ลูกโทษล้านเปอร์เซนต์

ในจังหวะที่ ไรอัน เยตส์ ถูก อลิสซง ล้มตัวสกัดจนคะมำ ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมเหตุการณ์อีกหลากหลายที่โชคเป็นใจให้กับ หงส์แดง อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ขณะเดียวกัน เราก็ต้องย้อนกลับมาที่ความเหนียวหนึบเชื่อใจได้ของ อลิสซงที่ทำให้ทีมรอดพ้นจากการเสียประตู

อย่างน่าทึ่งหลายต่อหลายครั้ง อาทิ เกมบุกชนะ เบิร์นลีย์ 1-0 ที่นายทวารทีมชาติ บราซิล ต้องออกแรงเซฟบ่อยครั้งอย่างไม่น่าเชื่อมากกว่าทุกเกมในซีซั่นนี้ของเขา (5ครั้ง) ไม่เพียงเท่านั้น เกมชนะ เวสต์แฮม 1-0 อลิสซง ก็ต้องเซฟ หงส์แดงมากถึงสี่ครั้งด้วยกัน

“เรารู้ว่าเรามีโชคบ้างในบางจังหวะ แต่เราเล่นเกมรับได้ดีเช่นกัน” คล็อปป์เอ่ยหลังเกมบู๊กับ ขุนค้อน “วันนี้เราเล่นได้ไม่ไหลรื่นเท่าไหร่ แต่เราสู้เต็มที่ และนักเตะของเราทำได้ดี” ถึงตอนนี้ ลิเวอร์พูลได้พักแข้งพักขากันอีกรอบเป็นเวลา 12 วันก่อนเฝ้า

แอนฟิลด์ ห้ำหั่นกับ แตนอาละวาด ในวันที่ 2 เม.ย.แต่เป็นเรื่องหนีไม่พ้นที่คล็อปป์ ต้องเสียลูกทีมให้กับทีมชาติไปทั้งสิ้น 15 ชีวิต อีกทั้งตลอดเดือนเม.ย.กุนซือด๊อยทช์จะต้องคุมทีมลงเล่นมากถึงเก้านัด คิดค่าเฉลี่ยได้เป็นการลงสนามในทุกๆ 3.6วัน

คว้าแชมป์สี่ โดยมีเกมสำคัญอย่าง แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแปดทีม , เอฟเอคัพ รอบตัดเชือก และเกมลีกกับ แมนฯ ซิตี้ รวมอยู่ในเดือนหน้าด้วย อันหมายความว่าเหลือเวลาอีกไม่กี่อึดใจเท่านั้น เราก็จะได้รู้กันแล้วว่าลิเวอร์พูล ที่แกร่งทั่วแผ่นชุดนี้จะจบซีซั่นนี้ด้วยการได้แชมป์เดียว , สองแชมป์, สามแชมป์ หรือว่าสี่แชมป์!!!! เกินคาดมาก